หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทคืออะไร? (สาเหตุ อาการ และวิธีรักษา)
หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทคืออะไร? (สาเหตุ อาการ และวิธีรักษา)
อย่าปล่อยให้หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทคอยรบกวนชีวิตคุณ มาทำความรู้จักสัญญาณเตือน วิธีป้องกันที่เหมาะสม ช่วยลดความเสี่ยงและบรรเทาอาการปวดได้ก่อนที่อาการจะลุกลาม
คุณเคยมีอาการปวดหลัง, ปวดคอ หรือมีอาการชา, อ่อนแรง, ปวดร้าวลงขา, ร้าวลงแขน หรือไม่? อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะ หมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท ที่หลายคนมองข้าม โรคนี้ไม่เพียงสร้างความเจ็บปวดทรมาน แต่ยังส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก หากไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้อง อาการอาจลุกลามจนถึงขั้นต้องเข้ารับการผ่าตัด
ในวันนี้ หมอเทียงจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจสาเหตุ, สัญญาณเตือน และแนวทางการดูแลตัวเองเบื้องต้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถรับมือกับภาวะนี้ได้อย่างทันท่วงทีและมีการป้องกัน ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
สารบัญ
- หมอนรองกระดูกคืออะไร? และทับเส้นประสาทได้อย่างไร?
- ปวดร้าว ชา อ่อนแรง? เช็คลิสต์อาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
- ใครมีความเสี่ยง "หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท" มากที่สุด?
- ปวดจนทนไม่ไหว ควรดูแลตัวเองเบื้องต้นอย่างไร? (วิธีแก้ปวดชั่วคราว)
- อาการแบบไหนที่ห้ามทน? สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบพบแพทย์
- รักษาอย่างไรให้ตรงจุด? (เจาะลึกแนวทางการรักษาแบบไม่ผ่าตัด)
- ทางเลือกการรักษาที่ Prohealth Clinic (กายภาพบำบัดและจัดกระดูก)
- คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ "หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท"
หมอนรองกระดูกคืออะไร? และทับเส้นประสาทได้อย่างไร?
หมอนรองกระดูก (Intervertebral Disc) คือส่วนประกอบสำคัญของกระดูกสันหลัง มีลักษณะคล้ายเจลลี่หรือคูชั่นที่อยู่ระหว่างข้อกระดูกสันหลังแต่ละข้อ ทำหน้าที่หลักเป็น โช้คอัพธรรมชาติ ของร่างกาย โดยช่วย ดูดซับแรงกระแทก มอบ ความยืดหยุ่น และทำให้กระดูกสันหลังสามารถ เคลื่อนไหวได้หลายทิศทาง เช่น ก้ม เงย บิดตัว รวมถึงช่วยปกป้องเส้นประสาทไขสันหลังที่อยู่ภายใน
ภาวะหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เกิดขึ้นเมื่อหมอนรองกระดูกเกิดความเสียหาย ไม่ว่าจะจากการ เสื่อมสภาพตามวัย การบาดเจ็บ หรือ การใช้งานร่างกายในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง ความเสียหายนี้จะทำให้ส่วนที่เป็นเจลลี่ด้านในของหมอนรองกระดูก ดันปลิ้นออกมา นอกวงแหวนที่หุ้มอยู่ และไป กดทับเส้นประสาทไขสันหลัง ที่อยู่ใกล้เคียง การกดทับนี้เป็นสาเหตุสำคัญของอาการ ปวด ชา หรืออ่อนแรง ซึ่งอาการปวดมักจะ ปวดร้าว ไปตามแนวเส้นประสาทที่ถูกกดทับ เช่น ปวดร้าวลงแขนหรือขา ภาวะนี้จึงถูกเรียกอีกชื่อว่า หมอนรองกระดูกปลิ้น
ปวดร้าว ชา อ่อนแรง? เช็คลิสต์อาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
สัญญาณเตือนสำคัญของหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ที่คุณต้องสังเกตปัจจัยเสี่ยง การสังเกตสัญญาณเตือนเบื้องต้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณได้รับการการวินิจฉัยและการรักษาที่รวดเร็วขึ้น หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
ปวดหลังและปวดคอร้าวลงแขน/ขา: อาการปวดที่แตกต่างจากปกติ อาการปวดหลังหรือปวดคอที่เกิดจาก หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท มักมีความรุนแรงและมีลักษณะเฉพาะ คืออาการปวดจะปวดร้าวลงขาหรือร้าวลงแขนไปตามแนวของเส้นประสาทที่ถูกกดทับ เช่น หากหมอนรองกระดูกส่วนเอวทับเส้นประสาท อาการปวดจะร้าวลงสะโพก ต้นขา น่อง ไปจนถึงเท้า หรือหากเกิดที่คอ อาการปวดจะร้าวลงมาที่บ่า แขน และมือ อาการปวดเหล่านี้มักแตกต่างจากอาการปวดเมื่อยทั่วไป
อาการชา อ่อนแรง และความรู้สึกผิดปกติ: สัญญาณเตือนจากเส้นประสาท นอกจากการปวดแล้ว ผู้ที่มีอาการนี้อาจมีอาการชา รู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่ม หรือรู้สึกเหมือนมีไฟฟ้าช็อตบริเวณที่เส้นประสาทถูกกดทับ ในบางรายอาจมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อร่วมด้วย ทำให้ยกแขนไม่ขึ้น กำมือไม่แน่น หรือเดินลำบาก อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเส้นประสาทกำลังถูกรบกวน
อาการปวดแย่ลงเมื่อไอ จาม หรือเบ่ง: ข้อสังเกตเฉพาะของหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หนึ่งในลักษณะเด่นของอาการ หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท คืออาการปวดจะแย่ลงเมื่อมีการเพิ่มแรงดันในช่องท้อง เช่น เวลาไอ จาม เบ่ง หรือยกของหนัก ซึ่งเป็นเพราะการเพิ่มแรงดันในช่องท้องจะไปดันให้หมอนรองกระดูกที่ปลิ้นออกมาเคลื่อนที่และกดทับเส้นประสาทมากขึ้น
ใครมีความเสี่ยง "หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท" มากที่สุด?
แม้ภาวะนี้จะเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ก็มีบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป เช่น
พฤติกรรมเสี่ยงในชีวิตประจำวัน
- ผู้ที่ยกของหนักไม่ถูกวิธีเป็นประจำ
การยกของหนักโดยใช้กล้ามเนื้อหลังแทนการใช้กล้ามเนื้อขาและหน้าท้อง ทำให้กระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูกรับน้ำหนักมากเกินไปและเกิดการบาดเจ็บได้ง่าย
- ผู้ที่นั่งทำงานหรือยืนเป็นเวลานานโดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ
การอยู่ในท่าเดิมนานๆ ทำให้หมอนรองกระดูกถูกกดทับอย่างต่อเนื่อง และการไหลเวียนโลหิตบริเวณนั้นไม่ดี ส่งผลให้หมอนรองกระดูกเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
- ผู้ที่ก้มๆ เงยๆ บ่อยครั้ง
การเคลื่อนไหวที่ต้องก้มและเงยบ่อยๆ เช่น พนักงานทำความสะอาดหรือช่างซ่อมต่างๆ ทำให้หมอนรองกระดูกถูกใช้งานอย่างหนักและมีโอกาสฉีกขาดหรือปลิ้นได้
- นักกีฬาบางประเภท
กีฬาที่ต้องมีการบิดตัว โค้งงอ หรือกระแทกอย่างรุนแรง เช่น ยกน้ำหนัก กอล์ฟ หรือยิมนาสติก อาจทำให้หมอนรองกระดูกได้รับบาดเจ็บเรื้อรัง
- ผู้ที่ขาดการออกกำลังกายหรือมีกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้องไม่แข็งแรง
กล้ามเนื้อที่อ่อนแอไม่สามารถพยุงกระดูกสันหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้หมอนรองกระดูกต้องรับภาระมากขึ้น
ปัจจัยอื่นๆ
นอกเหนือจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวันแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ได้แก่
• อายุ เมื่ออายุมากขึ้น หมอนรองกระดูกจะเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ มีความยืดหยุ่นลดลง และมีแนวโน้มที่จะฉีกขาดหรือปลิ้นได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในช่วงวัยกลางคนขึ้นไป
• น้ำหนักตัวเกินมาตรฐานหรือเป็นโรคอ้วน น้ำหนักตัวที่มากเกินไปจะเพิ่มแรงกดต่อกระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูกอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
• พันธุกรรม บางรายอาจมีโครงสร้างหมอนรองกระดูกที่อ่อนแอหรือเสื่อมสภาพได้ง่ายกว่าปกติ ซึ่งอาจถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
• การสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่ส่งผลให้การไหลเวียนโลหิตไปยังหมอนรองกระดูกลดลง ทำให้หมอนรองกระดูกขาดสารอาหารและเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
• เคยได้รับอุบัติเหตุหรือบาดเจ็บบริเวณกระดูกสันหลัง การบาดเจ็บโดยตรงต่อกระดูกสันหลัง ไม่ว่าจะเป็นการหกล้ม รถชน หรือการกระแทกอย่างรุนแรง สามารถทำให้หมอนรองกระดูกเสียหายได้ทันทีหรือเร่งการเสื่อมสภาพในระยะยาว
ปวดจนทนไม่ไหว ควรดูแลตัวเองเบื้องต้นอย่างไร? (วิธีแก้ปวดชั่วคราว)
• พักผ่อนให้เพียงพอ
หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้แรงหรือทำให้กระดูกสันหลังกระเทือน หากต้องนั่งหรือยืน ควรเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ และหลีกเลี่ยงการนอนบนเตียงนานเกินไป เพราะอาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง
• ประคบเย็นหรือร้อน
ประคบเย็น: ใน 24–48 ชั่วโมงแรกที่มีอาการปวดเฉียบพลัน ใช้ถุงน้ำแข็งห่อผ้าขนหนูประคบบริเวณที่ปวด ครั้งละ 15–20 นาที วันละหลายครั้ง ช่วยลดอักเสบและบวม ประคบร้อน: หากอาการยังไม่ดีขึ้นหลัง 48 ชั่วโมง ใช้แผ่นประคบร้อนหรือถุงน้ำร้อนครั้งละ 15–20 นาที เพื่อคลายกล้ามเนื้อและลดอาการเกร็ง
• ปรับท่าทางให้เหมาะสม
นั่ง ยืน เดิน และนอนอย่างถูกท่า หลีกเลี่ยงการยกของหนักผิดวิธีหรือการบิดตัวอย่างรวดเร็ว
• ใช้ยาแก้ปวดพื้นฐาน
สามารถใช้พาราเซตามอล หรือยาในกลุ่ม NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟน โดยควรอ่านฉลากและทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
อาการแบบไหนที่ห้ามทน? สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบพบแพทย์
แม้อาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทในระยะแรกอาจดีขึ้นได้เองจากการดูแลเบื้องต้น แต่หากมีสัญญาณเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที
- • ปวดรุนแรงไม่หาย อาการปวดรุนแรงจนรบกวนชีวิตประจำวัน หรือไม่ดีขึ้นแม้พักผ่อนหรือใช้ยาแก้ปวดพื้นฐาน
- • ชาหรืออ่อนแรงมากขึ้น รู้สึกชาหรืออ่อนแรงบริเวณแขน ขา หรือส่วนอื่น ๆ มากขึ้นจนกระทบการเคลื่อนไหว
- • มีปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่าย ปัสสาวะหรืออุจจาระลำบาก กลั้นไม่ได้ หรือไม่รู้ตัว เป็นสัญญาณของภาวะฉุกเฉินที่เรียกว่า กลุ่มอาการหางม้า (Cauda Equina Syndrome)
- • สูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อ เช่น เดินเซ ทรงตัวลำบาก หรือยกขาไม่ขึ้น
- • มีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีไข้ น้ำหนักลดผิดปกติ หรือปวดมากขึ้นตอนกลางคืน
รักษาอย่างไรให้ตรงจุด? (เจาะลึกแนวทางการรักษาแบบไม่ผ่าตัด)
การรักษามักเริ่มจากวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด หากอาการไม่ดีขึ้นจึงพิจารณาทางเลือกอื่นที่เหมาะสมมากขึ้น
• พักผ่อนและปรับพฤติกรรม หลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนนาน งดกิจกรรมที่กดทับกระดูกสันหลัง เช่น ยกของหนัก ก้ม หรือบิดตัวแรง ๆ ควรนอนบนที่นอนที่พยุงสรีระได้ดี และใช้หมอนที่ไม่สูงเกินไป เพื่อช่วยลดแรงกดบนเส้นประสาท
• พักผ่อนและปรับพฤติกรรม เช่น ยาแก้ปวด ยาต้านการอักเสบ หรือยาคลายกล้ามเนื้อ เพื่อลดอาการปวดและบวม
• กายภาพบำบัด นักกายภาพบำบัดจะประเมินการเคลื่อนไหว ออกแบบท่าบริหารเฉพาะบุคคล เพื่อเสริมความแข็งแรงและยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ช่วยลดแรงกดทับเส้นประสาทได้อย่างปลอดภัย
• ฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะจุด ลดการอักเสบเฉพาะบริเวณที่เส้นประสาทถูกกด ช่วยบรรเทาอาการได้ในระยะสั้น
• ผ่าตัด ใช้ในกรณีที่อาการรุนแรง เช่น เดินไม่ได้ กล้ามเนื้ออ่อนแรงมาก หรือมีภาวะฉุกเฉิน เช่น ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้
ทางเลือกการรักษาที่ Prohealth Clinic (กายภาพบำบัดและจัดกระดูก)
ที่ Prohealth เรามีโปรแกรมดูแลแบบ 5 ขั้นตอน ช่วยฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงและกลับมาทำงานได้ดีอีกครั้ง เหมาะสำหรับคนที่มีอาการปวดหลัง ปวดคอ หรือกล้ามเนื้ออักเสบต่าง ๆ รวมถึงอาการจาก ออฟฟิศซินโดรม โดยส่วนใหญ่แล้ว การรักษาโดยไม่ผ่าตัด จะตอบสนองได้ดีและมีขั้นตอน ดังนี้
- 1. ตรวจและสอบถามอาการ เริ่มจากการพูดคุยและตรวจร่างกายอย่างละเอียด เพื่อหาสาเหตุของอาการที่คุณกำลังเจอ รวมถึงพิจารณาความจำเป็นในการตรวจเพิ่มเติมด้วย MRI เพื่อยืนยันการวินิจฉัย
- 2. จัดกระดูกและปรับโครงสร้างร่างกาย โดยผู้เชี่ยวชาญ หมอไคโรแพรคติก เพื่อแก้ไขจุดที่ผิดปกติและช่วยให้ร่างกายกลับมาสมดุล การจัดกระดูกแบบเฉพาะเจาะจงช่วยลดการกดทับของเส้นประสาท
- 3. นวดคลายกล้ามเนื้อโดยแพทย์แผนไทย ลดอาการตึงของกล้ามเนื้อ ช่วยให้รู้สึกสบายขึ้นและเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
- 4. ใช้เครื่องกระตุ้นกล้ามเนื้อ (EMS) เพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้กลับมาแข็งแรง และช่วยให้การรักษาเห็นผลไวขึ้น
- 5. แนะนำท่าบริหารง่าย ๆ ให้ทำเองที่บ้าน เพื่อช่วยให้ผลการรักษายั่งยืน และลดโอกาสที่อาการจะกลับมาเป็นอีก โดยเน้นท่าบริหารที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
นอกจากนี้ยังมีเครื่องมืออื่น ๆ ให้เลือกรับบริการ ได้แก่ Shockwave Therapy – คลื่นกระแทกพลังงานสูง ช่วยรักษาอาการกล้ามเนื้อหรือเอ็นอักเสบเรื้อรัง, PMS (Passive Movement System) – เครื่องช่วยขยับข้อต่อ ลดอาการตึงและคลายการกดทับเส้นประสาท, EMS (Electrical Muscle Stimulation) – เครื่องกระตุ้นกล้ามเนื้อเฉพาะจุด เพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ, Ultrasound Therapy – คลื่นเสียงช่วยลดอาการอักเสบลึก ๆ ใต้ชั้นกล้ามเนื้อ, และ Mechanical Traction – เครื่องดึงหลัง ช่วยลดแรงกดทับบริเวณหมอนรองกระดูก
ที่ Prohealth เรามีโปรแกรมดูแลแบบ 5 ขั้นตอน ช่วยฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงและกลับมาทำงานได้ดีอีกครั้ง เหมาะสำหรับคนที่มีอาการปวดหลัง ปวดคอ หรือกล้ามเนื้ออักเสบต่าง ๆ
1. ตรวจและสอบถามอาการ
เริ่มจากการพูดคุยและตรวจร่างกายอย่างละเอียด เพื่อหาสาเหตุของอาการที่คุณกำลังเจอ
2. จัดกระดูกและปรับโครงสร้างร่างกาย
โดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อแก้ไขจุดที่ผิดปกติและช่วยให้ร่างกายกลับมาสมดุล
3. นวดคลายกล้ามเนื้อโดยแพทย์แผนไทย
ลดอาการตึงของกล้ามเนื้อ ช่วยให้รู้สึกสบายขึ้นและเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
4. ใช้เครื่องกระตุ้นกล้ามเนื้อ (EMS)
เพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้กลับมาแข็งแรง และช่วยให้การรักษาเห็นผลไวขึ้น
5. แนะนำท่าบริหารง่าย ๆ ให้ทำเองที่บ้าน
เพื่อช่วยให้ผลการรักษายั่งยืน และลดโอกาสที่อาการจะกลับมาเป็นอีก
นอกจากขั้นตอนการดูแลแบบครบวงจรแล้ว Prohealth ยังมีเครื่องมือพิเศษที่ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น เช่น
Shockwave Therapy – คลื่นกระแทกพลังงานสูง ช่วยรักษาอาการกล้ามเนื้อหรือเอ็นอักเสบเรื้อรัง

PMS (Passive Movement System) – เครื่องช่วยขยับข้อต่อ ลดอาการตึงและคลายการกดทับเส้นประสาท

EMS (Electrical Muscle Stimulation) – เครื่องกระตุ้นกล้ามเนื้อเฉพาะจุด เพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ

Ultrasound Therapy – คลื่นเสียงช่วยลดอาการอักเสบลึก ๆ ใต้ชั้นกล้ามเนื้อ

Mechanical Traction – เครื่องดึงหลัง ช่วยลดแรงกดทับบริเวณหมอนรองกระดูก

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ "หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท"
หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เกิดขึ้นที่ส่วนไหนได้บ้าง?
อาการสามารถเกิดได้ทั้งบริเวณคอ (กระดูกสันหลังส่วนคอ) หรือหลังส่วนล่าง ซึ่งเป็นจุดที่มักเกิดการเคลื่อนไหวและรับน้ำหนักมากที่สุด
หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หายเองได้หรือไม่?
ในบางกรณีอาการสามารถดีขึ้นเองได้จากการพักผ่อนและดูแลตนเองอย่างเหมาะสม แต่หากอาการไม่ดีขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์ ควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจอย่างละเอียด
ถ้ามีอาการ ควรงดกิจกรรมอะไรบ้าง?
ควรงดการยกของหนัก งดออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกสูง และหลีกเลี่ยงการนั่งนานหรือก้มหลังบ่อย ๆ
ปวดจากหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ต่างจากปวดหลังทั่วไปอย่างไร?
อาการปวดจากหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทจะต่างจากปวดหลังทั่วไปที่อาการปวดมักจะมีความเฉพาะเจาะจงและรุนแรงกว่า โดยมักจะปวดร้าวลงขาหรือแขน มีอาการ ชาหรืออ่อนแรง ร่วมด้วย ซึ่งเป็นผลจากการที่หมอนรองกระดูกที่เสื่อมสภาพเคลื่อนไปกดทับเส้นประสาท ส่วนอาการปวดหลังทั่วไปมักจะเป็นอาการปวดตึง ๆ ที่หลัง หรือปวดเมื่อยที่เกิดขึ้นเฉพาะบริเวณหลังเท่านั้น มักไม่มีอาการปวดร้าวลงขาหรืออาการชาตามมา
อายุน้อยเป็นได้มั้ย?
หลายคนอาจเข้าใจว่าโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเป็นโรคของผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แม้ในวัยหนุ่มสาว โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทำงานอายุ 20-50 ปี สาเหตุหลักที่ทำให้คนอายุน้อยเป็นโรคนี้มักมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น การยกของหนัก, นั่งผิดท่านาน ๆ และการเล่นกีฬาที่มีการปะทะหรือใช้แรงบิดรุนแรง เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล หรือยิมนาสติก
กระดูกสันหลังเสื่อม vs หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ต่างกันยังไง?
กระดูกสันหลังเสื่อม คือ ภาวะที่กระดูกสันหลังและข้อต่อต่าง ๆ มีการสึกหรอตามวัย อาจทำให้เกิดอาการปวดหลังเรื้อรังและเคลื่อนไหวได้ไม่เต็มที่ ในขณะที่ หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท คือ ภาวะที่เกิดจากหมอนรองกระดูกที่อยู่ระหว่างข้อกระดูกสันหลังเคลื่อนตัวออกมาและไปกดทับเส้นประสาทที่อยู่ใกล้เคียง ทำให้เกิดอาการปวดร้าว ชา หรืออ่อนแรงตามแขนและขาได้ง่าย ซึ่งภาวะกระดูกสันหลังเสื่อมเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การเกิดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทนั่นเองครับ




